
ถามตอบเรื่องเบาหวาน กับหมอจุลี จตุวรพัฒน์
1.เบาหวานคืออะไร สาเหตุจากอะไร
: เบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารไปใช้ได้ เนื่องจากขาดอินซูลิน ซึ่งเป็นตัวนำน้ำตาลเข้าในเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ไปเผาผลาญให้เกิดพลังงาน จึงเกิดน้ำตาลส่วนเกินท่วมท้นในกระแสเลือด ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 180 มก./ดล. ก็จะท้นออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน มดจึงมาตอม ชาวบ้านจึงเรียกว่า เบาหวาน
2.อาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นเบาหวาน
: อาการแสดง มาได้หลากหลายรูปแบบ
แบบน้อย หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ ตามองไม่ชัด
แบบปานกลาง คันในร่มผ้าเนื่องจากมีเชื้อราเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นแผลแล้วหายยาก ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อย ๆ
แบบรุนแรง หมดสติ เนื่องจากน้ำตาลสูงมาก ๆ ในเลือด
3.จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเบาหวานแล้ว นอกจากอาการแสดงที่กล่าวมา
: ตรวจเลือดในตอนเช้าเมื่องดอาหาร พบว่า น้ำตาลในเลือดสูง มากกว่า 126 มก./ดล. 2 ครั้ง หรือ
ตรวจเลือดไม่งดอาหาร น้ำตาลมากกว่า 200 มก./ดล. (ค่าน้ำตาล ปกติ คือ 80-100 มก./ดล.)
4.เป็นแล้วจะดูแลรักษาตัวเองอย่างไร
: การดูแลรักษาผู้เป็นเบาหวาน ควรทำร่วมกันทั้งทีมแพทย์-ผู้เป็นเบาหวานและผู้ดูแลผู้เป็นเบาหวาน คือ ญาติ ๆ หรือผู้ให้การบริบาลผู้เป็นเบาหวาน ทีมแพทย์เป็นเพียงผู้ให้ความรู้ คำแนะนำที่ถูกต้องในการดูแลรักษา และจัดยาให้ตรงกับสภาพร่างกายของผู้เป็นเบาหวานแต่ละคน 1-2 เดือนมาพบแพทย์ครั้งเดียวใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที แต่การดูแล 90%จะอยู่ที่ตัวผู้เป็นเบาหวานและญาติ ซึ่งอยู่ด้วยกันทุกวัน ว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำได้หรือไม่
ขั้นที่ 1 – ดูแลเรื่องอาหาร เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ถึงแม้ไม่เป็นเบาหวานก็ต้องดูแล เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสัดส่วน และหลากหลายไม่รับประทานแต่ของชอบอย่างเดียวเป็นเวลานาน ๆ ของที่ควรงด 5 อย่างสำหรับผู้เป็นเบาหวาน คือ ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, น้ำหวาน, น้ำอัดลม นอกจากนั้นรับประทานได้ทุกอย่าง ในปริมาณที่จำกัด ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าต้องการพลังงานในปริมาณเท่าใด จึงจะสอดคล้องต่อการควรคุมเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษา, โภชนากรหรือนักกำหนดอาหาร ในการกำหนดอาหารของแต่คนที่เป็นเบาหวาน
ขั้นที่ 2 – ดูแลเรื่องการออกกำลังกาย ควรทำให้ต่อเนื่องและตลอดไป ถึงแม้นว่ายังไม่เป็นเบาหวาน การออกกำลังกายก็ป้องกันเบาหวานได้ การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำตาล ถ้ามีอายุมากก็ให้เดินเร็ว ๆ ให้ชีพจรเต้นเร็วกว่า 120 ครั้ง/นาที นาน 30-45 นาที /วัน สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นอย่างน้อย วิธีนี้ร่วมกับการควบคุมอาหารจะช่วยลดน้ำตาลได้ 20-30 % ถ้าน้ำตาลในเลือดไม่สูงมากเพียงควบคุมอาหารและออกกำลังกายสามารถทำให้เราไม่ต้องรับประทานยาไปได้อีกหลาย ๆ ปี การออกกำลังกายและควบคุมอาหารไม่ให้อ้วนก็สามารถป้องกันการเป็นเบาหวานได้เช่นกัน ถึงแม้จะมีคนใกล้ชิด คือ คุณพ่อ คุณแม่ เป็นทั้ง 2 ท่านก็ตาม
อย่าให้อ้วน!!! จะป้องกันเบาหวานได้
ขั้นที่ 3 – ถ้าทั้ง 2 ขั้นตอนได้ผลก็ต้องรับประทานยาเพื่อควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ การรับประทานยาเพียงอย่างเดียว จะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะควบคุมน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ได้ตลอดวัน ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายร่วมด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
5.โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานมีอะไรบ้าง
โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานมีได้ทุกระบบ เกิดเนื่องจากมีภาวะน้ำตาลสูงในเลือดทำให้เกิดการเปลี่ยนที่หลอดเลือดในทุกระบบของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสมรรถภาพ และมีการเปลี่ยนแปลง ขาดความยืดหยุ่น หลอดเลือดใหญ่อาจตีบตันได้ หลอดเลือดเล็ก ๆ เปราะแตกง่ายได้ ขึ้นอยู่กับว่าไปแสดงออกที่อวัยวะส่วนใด เช่น
สมอง : ทำให้หลอดเลือดตีบตัน เป็นอัมพฤก อัมพาตได้
ตา : จอรับภาพผิดปกติ หรือเรียกกันว่า เบาหวานเข้าตา เป็นมาก ๆ หลอดเลือดที่จอตาแตกง่าย ทำให้น้ำวุ้นในตาขุ่น สูญเสียการมองเห็นทำให้ตาบอดได้
หัวใจ : ทำให้เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบ ขาดเลือดมาเลี้ยงหัวใจ, หัวใจวาย
ไต : การกรองของไตเสื่อม มีของเสียคั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ขั้นสุดท้าย ก็ต้องล้างไต, ฟอกเลือดไปตลอดชีวิต
ระบบประสาท:ปลายเส้นประสาทเสื่อมร่วมกับหลอดเลือดตีบ เท้าชาเป็นแผลก็ไม่รู้ รู้ก็เมื่อลามมาก เป็นมาก ติดเชื้อรักษาหายยาก ต้องตัดไปกันมากต่อมาก
นอกจากนี้ยังมีภาวะไขมันสูง, ความดันโลหิตสูง ตามมา โรคแทรกซ้อนของเบาหวานไม่ได้เกิดขี้นทันที เมื่อเป็นเบาหวานในระยะเริ่มแรก ใช้เวลาเป็นหลายปี ในรายที่ควบคุมเบาหวานไม่อยู่ในเกณฑ์ 5-10 ปี ก็จะพบโรคแทรกซ้อนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และจะลามมาหลาย ๆ ระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ายังควบคุมเบาหวานไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ดี
6. เมื่อเป็นเบาหวานแล้วเกณฑ์ที่ดีในการรักษาคือเท่าไร
เกณฑ์ดีมาก คือ
น้ำตาลตอนเช้าก่อนอาหารไม่เกิน 110 มก./ดล.
น้ำตาลที่ 2 ชม. หลังอาหาร 170 มก./ดล.
น้ำตาลเฉลี่ย (ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี) ไม่เกิน 7%
เกณฑ์พอรับได้ คือ
น้ำตาลตอนเช้าก่อนอาหารไม่เกิน 140 มก./ดล.
น้ำตาลที่ 2 ชม. หลังอาหาร น้อยกว่า 200 มก./ดล.
น้ำตาลเฉลี่ย (ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี) 7-8 %
เกณฑ์ที่ต้องปรับปรุง คือ
น้ำตาลตอนเช้าก่อนอาหาร มากกว่า 180 มก./ดล.
น้ำตาลที่ 2 ชม. หลังอาหารมากกว่า 200 มก./ดล.
น้ำตาลเฉลี่ย (ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี) มากกว่า 8 %
7. ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยยามีอะไรบ้าง
อาการน้ำตาลต่ำ ถ้าได้ยามากเกินไป หรือได้พอเหมาะ แต่ไม่ทานอาหารให้ตรงเวลาก็เกิดขึ้นได้ เพราะยาออกฤทธิ์คงที่ตรงเวลา แต่ผู้เป็นเบาหวานรับประทานตามความเรียกร้องไม่หิวไม่รับประทาน
8. เบาหวานในเด็กเล็ก ๆ เป็นได้อย่างไร
เด็ก ๆ ก็สามารถเป็นเบาหวานได้ โดยที่คุณพ่อ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นเบาหวาน เกิดเนื่องจากตับอ่อนไม่สร้างอินซูลินเพราะติดเชื้อไวรัส หรือมีภูมิทำลายตับอ่อน ในกรณีที่คุณพ่อ คุณแม่เป็นเบาหวาน ลูกมักจะเป็นเบาหวานเมื่อโตขึ้นพ้นวัยเด็กแล้ว
9.ถ้าคุณแม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ลูกที่คลอดออกมาจะเป็นเบาหวานหรือไม่
เบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ถ้าควบคุมไม่ดีทำให้เด็กตัวโตขึ้นมี ความยากลำบากในการคลอด แต่ไม่ทำให้เด็กคนนั้นเป็นเบาหวานทันทีหลังคลอด แต่สามารถเป็นเบาหวานได้เมื่อโตขึ้น
